..............โตเกียวไม่มีแผน............ บันทึกการเดินทางของคนที่ไปญี่ปุ่น ที่ไม่ได้วางแผนมาก่อน

....................โตเกียวไม่มีแผน.................  

อัพเดท!!!
วันที่ 2 อยู่ความคิดเห็นที่ 5
วันที่ 3 อยู่ความคิดเห็นที่ 10 นะครับ ^^

       อ่านไม่ผิดหรอกครับ ไม่มีแผนจริงๆ ชื่ออาจจะไปผ้องกับหนังสือของพี่นิ้วกลม  (ตัวผมไม่เคยได้อ่านจริงจังสักทีแต่ก็มีพี่เขาเป็นไอดอล)  เรื่องราวที่เจ้าของกระทู้จะเขียนจะเป็นแนวประสบการณ์การอยู่ตัวคนเดียวในญี่ปุ่น  เพื่อเป็นแนวทางให้คนที่กลัวการเที่ยวคนเดียวให้รู้ว่า เที่ยวคนเดียวก็สนุกได้  และให้เพื่อนๆของผมได้อ่านได้รู้ประสบการณ์ที่ได้ไปเจอมา ตามที่สัญญากับพวกเขาเอาไว้ ว่าจะเขียน รูปภาพอาจจะมีไม่เพียงพอ เพราะตัวเจ้าของกระทู้เองไม่คิดว่าจะได้มาเขียน จึงขออภัยมาที่นี่ด้วยครับ มาเริ่มต้นเรื่องราวกันเลย  (ภาษาส่วนใหญ่ที่ใช้เขียนเป็นภาษาพูด อาจจะไม่ถูกหลักภาษาไทยไปสักหน่อย ขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยครับ)

         "จุดเริ่มต้นของเรื่อง" ต้องย้อนไปเมื่อเดือนสิงหาคมปีที่แล้ว มีสารการบินหนึ่งออกโปรโมชั้นราคาถูก โดยที่ผมเห็นราคามันพอโอเค ราคาพอรับได้ เลยจองไป – กลับ 14 วัน ช่วงเดือนเมษายน ที่จองนานๆตอนแรกไม่ได้คิดอะไร ก็คิดว่าไปทั้งทีน่าจะอยู่ให้คุ้ม (เจ้าของกระทู้เอง ไม่เคยไปต่างประเทศที่ไกลๆมาก่อน นี่เป็นครั้งแรกที่เดินทางไกล และคนเดียว) จนเวลาล่วงเลยมานาน จนลืมไปแล้วว่าเคยจองไว้ จน มีเมลล์ฉบับหนึ่งเข้ามาเตือนเรื่องตั๋วเครื่องบิน จึงนึกได้ แต่ก็ยังเฉยๆอยู่ จนมาช่วงเดือนกุมภาตอนแรกตัดใจว่าจะไม่ไปแล้ว เพราะช่วงนั้นช็อตอย่างหนัก คิดว่ามีเงินอันน้อยนิด ยังไงก็ไม่น่ารอดในญี่ปุ่น  พอดีได้เจอรุ่นน้องคนหนึ่งที่รู้จักกัน ผมก็พูดเปรยๆว่าจะไปญี่ปุ่น  น้องเค้าบอกว่าอยากได้รองเท้ายี่ห้อหนึ่ง(ที่มีโลโก้เป็นเครื่องหมายถูก) กะจะฝากซื้อเพื่อเป็นของขวัญวันเกิดให้ตัวเอง... โอเคผมเก็บทดเอาไว้ในใจ หลังจากนั้นผมก็ศึกษาว่าเขาขายกันที่ฮาราจุกุ พอได้แล้วทำให้ผมมีแรงฮึดอยากไป  เวลายังพอมีเหลือเก็บเงินยังทัน พยายามขายของเก็บเงินเรื่อยๆ พอถึงเดือนมีนา เริ่มมีแต่คนบอก เตรียมตัวหรือยัง พูดกับหลายคนว่าเตรียมเรียบร้อยพร้อมทุกอย่าง (ทั้งที่ยังไม่ได้เตรียมอะไรสักอย่าง) หลังจากที่มีคนมาสะกิด ผมก็ศึกษาวิธีการเข้าประเทศ ครั้งแรกที่ผมบินไปต่างประเทศทำให้ศึกษาอย่างหนักว่าต้องทำอย่างไรบ้าง ไป 14 วัน จะนอนไหน ผมเลยแบ่งเป็น 2 พาท 5 วันแรก อยู่ที่ โตเกียว 9 วันหลังอยู่บ้านอา (พอดีนึกได้ว่ามีอาอยู่ที่ญี่ปุ่นเลยติดต่อ เพื่อประหยัดค่าที่พัก) โดยกระทู้นี้หลักๆ จะพูดถึง 5 วันที่อยู่ในโตเกียวนะครับ เพื่อความง่ายต่อการเล่า แล้วจะสรุปงบคร้าวๆครับ (ไม่แพงอย่างที่คิด)  
ก่อนวันขึ้นจะบิน พอดีลูกพี่ลูกน้องผมที่เขาเพิ่งกลับมาจากญี่ปุ่นเค้าบอกว่าไม่น่าจะหนาวมาก ผมเลยติดเสื้อกันหนาวไปตัวเดียว กางเกงยีน 1 ตัว ขาสั้น 1 ตัว ชุดนอน 2 ชุด เสื้อ 5 ตัว กล้อง 1 ตัว  บลาๆๆๆ  (หายนะกำลังจะเกิดขึ้น เพราะสิ่งที่ผมเตรียมไป)

            "วันบิน"  ตรงกับวันที่ 7 เมษายน ที่ผ่านมา ไฟต์ 10.15 น. ผมตื่นแต่ตี 5 เตรียมตัว ออกจากบ้านมาแล้ว และสิ่งที่ในหนังเจอบ่อยๆก็เกิดขึ้นกับผม ผมลืมพาสปอท เสียเวลาวนรถกลับมาเอาที่บ้าน โธ่ - -*  พอมาถึงสนามบิน ผมก็ งงเต็ก ตามประสาคนที่เคยขึ้นเครื่องบินแค่ครั้งเดียวในชีวิต(ตอนเด็ก)  แถมไม่เคยไปต่างประเทศ  แต่ดีที่ยังอยู่ในประเทศไทย เลยถามคนแถวๆนั้น จนจับลู่ทาง เชคอิน เข้า ตม. รอ ขึ้นเครื่อง โอเครผ่านนนนนนนน





   พมได้ที่นั่งติดทางเดิน  ผมเป็นคนที่เข้ากับคนได้ง่าย ชอบคุยกับคนแปลกหน้า ข้างๆผมเป็นผู้หญิง ผมก็ชวนเขาคุย ประโยคแรกถึงกับเฮือกก... เขาไม่ใช่คนไทย ภาษาอังกฤษระดับ 4 เต็ม 10 ได้ถูกนำมาใช้โดยทันที  คุยไปคุยมาได้ความว่า เขาเป็นคนจีน มาเรียนญี่ปุ่น แล้วมาเที่ยวไทย กำลังจะกลับญี่ปุ่น (งงมะ) คุยรู้เรื่องบ้าง ไม่รู้เรื่องบ้าง เข้าถามผมว่ามีแผนไปไหนบ้าง ผมก็บอกไปว่า ไม่มีเลย เขาจึงแนะนำ โตเกียวทาวเวอร์ให้ผม โอเค ผมจึงทดไว้ในใจ........

     พอเครื่องถึงพื้นดิน 1 ทุ่มพอดี กับตันประกาศว่าอากาศ ประมาณ 12 องศา มีฝนตกเล็กน้อย โอ้วววว ไทย 36 องศา ณ ตอนนี้ที่ญี่ปุ่นเป็นสภาพอากาศที่หนาวมากสำหรับผม  ผมจึงแยกย้ายกับเพื่อนคนจีน เขาบอกว่าไว้ว่างๆคงจะมีโอกาศติดต่อกันอีก  พอลงเครื่องมาเสร็จผ่าน ตม. ซึ่งผม เขาก็ถามปกติ พอเขาดูวันที่มาอยู่ 14 วัน เขาก็เริ่มขอหลักฐานการจองที่พัก ผมก็ให้เขาไป ซึ่งมันมีแค่ 4 คืนแต่ผมอยู่ 14 วัน เขาเริ่มทำหน้าเข็ม  ผมก็เริ่มทำตัวมีพิรุท (อารมณ์แบบตื่นเต้น แบบว่ากลัวจะถูกส่งกลับ ทั้งที่ยังไม่ได้เข้าประเทศไรงี้)  เขาก็พูดเป็นภาษาญี่ปุ่น หน้าเริ่มครึมๆ จู่ๆ เค้าเตอร์ข้างๆ เป็นผู้หญิงถูกเจ้าหน้าที่สนามบินที่อยู่แถวนั้นเชิญตัวออกไปไหนสักทีหนึ่ง ผมก็ตกใจ จะโดนแบบนั้นบ้างป่าวว้า พอหันมามองพี่ ตม. เขาก็บอกให้ถ่ายรูป พร้อมพูดว่า “โยโกะโซะเจแปน”  หลังจากนั้นผมก็ซื้อตั๋วรถไฟ เข้าเมือง ที่อยู่ในสนามบิน (ตามที่ได้ศึกษามาว่าต้องขึ้น รถไฟอันนี้  ผมลืมบอกไปผมมาลงที่นาริตะ) ที่พักผมอยู่ใกล้ๆสวนอุเอะโนะ ผมซื้อตั๋วรถไฟเข้าเมืองของบริษัทเคเซ 1020 เยน แล้วก็ซื้อบัตร Tokyo Subway Ticket แบบ 2 day มาใช้ 2 ใบ ราคาใบละ 1200 เยน (บัตรนี้ขายให้สำหรับนักท่องเที่ยว แล้วสามารถซื้อได้ที่สนามบินเท่านั้น ในไกด์ที่ศึกษามาเข้าบอกมาแบบนี้) ประโยชน์ของบัตรนี้คือ สามารถขึ้นรถไฟใต้ดินกี่เที่ยวก็ได้ สายใดก็ได้ ทั้งหมดที่อยู่ในโตเกียว เป็นเวลา 2 วัน (ที่จริงบัตรมีอยู่ 3 แบบคือ แบบ 1 วัน แบบ 2 วัน และแบบ 3 วันครับ) ผมแอบหวั่นนิดนึงเพราะรถไฟใต้ดินมี 13 สาย ซึ่งเยอะมากกก แต่เก็บทดความกลัวไว้ในใจ  หลังจากซื้อเสร็จผมขึ้นรถไฟ........


บรรยากาศเงียบเหงามาก เพราะรอบดึกแล้ว

ใช้เวลานั่งรถมาประมาณ 1 ชม.นิดๆ ก็ถึง พอมาถึง งงๆ ว่าจะไปทางไหนดี ผมเดินออกจากสถานีรถไฟ (หนาวมากประมาณ 12 องศาได้ประกอบกับฝนเพิ่งหยุดไปหมาดๆ หยิบแผนที่โรงแรมขึ้นมาดู แล้วถามๆคนแถวนั้นว่าไปทางไหน


ในภาพจะเห็นว่าสถานีรถไฟกับโรงแรมก็ไกลกันอยู่พอสมควร

     เผอิญผมโชคดีมาก เจอผู้ชายคนหนึ่ง ผมถามเค้า เค้าก็ทำท่าให้ตามเขาไป ผมก็ตามไปเรื่อยๆ ประติดประต่อได้ว่าเขาจะพาผมไปที่นั่น ผมก็ตามเขาไป เขาพอพูดภาษาอังกฤษได้บ้าง เขาบอกว่าเค้าเป็นคนเกาหลีที่มาทำงานทีนี่  เขาจะพาไปโรงแรมให้ (ตอนแรกกลัวๆนะ แต่คิดว่าคงไม่เป็นไร เลยตามไปเรื่อย) ประมาณครึ่งชั่วโมง หลงบ้างไรบ้าง จนเขานำทางมาถึง ขอบคุณอะไรกันเสร็จเขาก็จากไป พอเข้ามาในโรงแรม บรรยากาศอุ่นมาก เหมือนบ้าน มีแต่ชาวต่างชาติมากมาย (ผมลืมบอกไป ผมจองโรงแรมแบบโฮสเทลไว้ครับ ประหยัดงบ) ค่าโรงแรม 2 คืน ทั้งหมด 6400 เยน  ติดต่อล็อบบี้เสร็จ ผมก็ขึ้นไปดูห้อง(ในห้องจะเป็นเตียง 2 ชั้นทั้งหมด 5 เตียง) ผมนอนชั้นบน ที่นอนดูท่าจะนอนสบายดีเหมือนกัน



     ผมอาบน้ำเสร็จ หายะนะที่ผมได้เกริ่นไว้ก็เกิดขึ้น ด้วยความที่ไม่เคยมาเมืองหนาว ผมจึงเตรียมมาแต่ชุดนอนเมืองร้อน เสื้อยืดบางๆ + กางเกงขาสั้น  แต่โชคดีที่อากาศอุ่นๆ เพราะในโรงแรงเปิดฮีทเตอร์เอาไว้ ผมลงมาที่ล็อบบี้ เจอคนเกาหลี ใต้หวั่น อาเจนติน่า อเมริกา เขาชวนผมคุย ถามว่าเป็นมาไง ผมก็ตอบเท่าที่ผมตอบได้ด้วยภาษาอังกฤษระดับ 4/10


บรรยากาศในล็อบบี้ ดูอบอุ่นดีมากกก ทุกคนเป็นมิตรกันหมด

   คุยไปสักพักผมก็บอกเขาว่าผมหิว เขาก็แนะนำร้านอาหารที่ใกล้โรงแรมให้ ผมเลือกร้านซูชิ โดยส่วนตัวชอบอยู่แล้ว อีกอย่าง มาญี่ปุ่น กินซูชิมื้อแรกก็ไม่เลว (เวลาประมาณ 4 ทุ่มแล้วว) พอเข้าไป ภาษาญี่ปุ่นมาเป็นขบวนเลย ผมก็ได้แต่ชี้ๆ ตามเมนู เขาก็ทำให้ ทั้งร้านมีผมอยู่คนเดียว คนปั้นเขาก็คุยกับผม ผมก็ฟังไม่รู้เรื่อง ได้แต่ยิ้มๆ แล้วรับของมากิน




มื้อนี้หมดไป 1100 เยน กินเสร็จผมก็กลับมาโรงแรม แล้วขึ้นนอน พักผ่อน จบไปกับวันแรกในโตเกียว  

เด๋วมาต่อวันที่ 2 นะครับ......
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่